เสียงดนตรีดังกระหึ่มไปทั่วร้านที่มีแสงไฟเพียงน้อยนิด หนุ่มสาวหลายคนเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา บ้างก็ตะโกนคุยกัน บ้างก็เข้าไปคุยข้างหูอีกฝ่ายเพราะความดังของเสียงเพลง
แต่ถึงแม้ว่าเสียงดนตรีจะดังสักเพียงใด แต่ก็ไม่เข้ามาในโสตประสาทของชายหนุ่มผมสีดำขลับผู้นี้เลยแม้แต่น้อย เนื่องด้วยใจเขาประหวัดถึงใครคนหนึ่ง...คนที่เขาเฝ้าคิดถึงมานานแสนนาน...วันเวลาเก่า ๆ ที่เขาและคนคนนั้นเคยอยู่ร่วมกันผุดขึ้นมาในความทรงจำ เขานึกถึงใบหน้าที่ประดับยิ้มสดใส นึกถึงเสียงหัวเราะอันแสนร่าเริง นึกถึงความอบอุ่นของฝ่ามือนั้น แล้วพลันภาพวันที่คนคนนั้นจากไปก็ปรากฏเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ
ชายหนุ่มหยิบแก้วที่ใส่น้ำสีอำพันเบื้องหน้ามาจรดปากอย่างรวดเร็ว รสขมฝาดไหลผ่านลำคอพร้อมความเจ็บปวด เขาข่มใจตัวเองให้ลืมภาพนั้นเสีย แต่หากลืมได้ง่ายขนาดนั้น เขาคงลืมไปนานแล้ว
ชายหนุ่มวางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกมาจากร้านโดยไม่สะทกสะท้านต่อฝูงชนจำนวนมากที่ยืนขวางทางเข้าออก เขาเดินไปตามถนนสีเทาไร้ชีวิตชีวาอย่างไม่มีจุดหมาย ค่ำคืนนี้เขาจะไปนอนที่ไหนดี หากกลับไปที่นั่นก็รังแต่จะทำให้คิดถึงคนคนนั้นเสียเปล่า ๆ
เขาเงยหน้าเหม่อมองผืนฟ้ายามค่ำคืนที่สว่างเรืองรองเพราะแสงจากจันทร์เพ็ญ ชายหนุ่มเห็นใบหน้าของคนคนนั้นซ้อนทับกับพระจันทร์สีเหลืองนวล แล้วเห็นภาพของใครอีกคนหนึ่งซ้อนทับคนก่อน สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วสินะ ถ้าหากไม่ทำเสียแต่เนิ่น ๆ คนคนนั้นจะเจ็บปวดยิ่งกว่านี้ แต่...
“อยากเต้นรำจัง...” เสียงสุขุมนั้นดังแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบของสายลม