After Story=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์หลังอีเวนท์
[utl=https://secondneverland.thai-forum.net/t79-topic
]
“เหตุเกิดเพราะแรด” [/url](ชื่อเสื่อมขริงๆ)
อีเวนท์ซึ่งบรรดาเจ้าชาย ตามไปชกเจ้าหญิงนิทราถึงในฝัน =w=
ตามไปอ่านก่อน เพื่อความเข้าที่มากขึ้นจ้า
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
“บ๊าย บายครับ คุณโชว์” บรูโก เจ้าคาเมเลี่ยนน้อยในร่างมนุษย์
โบกมือพร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริงให้ผมดังเช่นเคย
ส่วนเจ้าของนั้นน่ะเหรอ? เดินสลึมสลือพยักหน้ารับคำกล่าวลาจากผมเมื่อสายัณห์มาเยือน
และจูงมือกับสัตว์เลี้ยงของเขาเดินลงจากเรือ และเข้าไปในป่าตามปกติ
แสงตะวันยามเย็นสาดแสงสีแดงไปทั่วเรือลำน้อยที่ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขา
โชว์ ปัง จ้องมองสีไม้ของเรือที่ถูกสีแดงกล้ำกรายอยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
เพราะภาพในความฝันยาวนานที่เพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่นเมื่อครู่นั้น มันได้ย้อนกลับมาในห้วงคำนึงของเขาอีกครั้ง
“ความฝันมีตั้งเยอะแยะ จะไปฝันถึงเรื่องพรรค์นั้นทำไมกันนะ” ผมพูดกับตัวเองอย่างหัวเสีย ที่ยังไม่อาจสลัดภาพทุ่งดอกเบญจมาศนั้นออกไปจากห้วงคำนึงได้
หากแต่คำพูดที่ว่า “ยิ่งอยู่คนเดียว จิตจะยิ่งคิดฟุ้งซ่าน” นั้น
เป็นความจริง ซึ่งผมอยากจะกราบคารวะผู้พูดเป็นคนแรกนัก
แม้แต่ในยามที่โม่ส่า เจ้านกที่เลี้ยงมาแสนนานหนีไปกินข้าวบ้านคุณอัน และยังไม่กลับมาที่เรือเสียที
มันจึงเป็นการช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะต้องวนเวียนอยู่ในอดีตเพียงลำพัง
ช่วยไม่ได้นะ คิดซะว่าฆ่าเวลาก็แล้วกันมันเป็นเรื่องราวตอนที่ผมคนนี้ยังเป็นเพียงชายหนุ่มวัยเบญจเพส ผู้ซึ่งกำลังเดินใช้ความคิดอยู่ในย่านการค้า
ชื่อดังในไนน่าทาวน์ โดยที่หน้าตาไม่ได้เหมือนกับกำลังคิดถึงหญิงผู้จะมาเป็นว่าที่ภรรยาในอนาคตอยู่เลย
“เหม่ย ลี่ฮวา ทำอย่างไรฉันถึงจะหาโอกาสคุยกับเธอตามลำพังได้นะ”
นี่ล่ะ คือความคิดที่ผมกลัดกลุ้มเหลือเกิน
ใครจะไปเชื่อว่าในสมัยศตวรรษที่ 21 ซึ่งโลกพัฒนาไปไหนต่อไหน...
ถึงจะเป็นบนดินแดนประหลาดๆ นี่ก็เถอะ
ยังมีคู่หมั้นที่เกิดจากการคลุมถุงชน โดยที่ทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง
ไม่เคยเห็นหน้ากันอยู่อีกหรือ?
ไม่สิ... หล่อนน่ะเคยเห็นหน้าเราแล้ว แต่เรานี่สิ นั่งห่างกันแค่คืบ
กลับมีผืนแพรมาบังเสียได้
ไม่ว่าจะพิธีนัดแนะหมั้นหมาย ดูตัว รึแม้กระทั่งพูดคุยกับว่าที่คุณนายโชว์
เราก็ทำได้เพียงนั่งเป็นไม้ประดับให้พิธีครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง “โชว์ ฟาน” ผู้นำแซ่โชว์
ผู้เป็นมารดาของเรานั้นล้วนจัดการทุกสิ่งอย่างเรียบร้อย
“อาม๊าของผม คือผู้หญิงที่เก่งที่สุดในโลก”นั่นเป็นหัวข้อเรียงความข้อเขียนสมัยประถมของผม
ไม่ว่าจะเขียนเพราะความไร้เดียงสา หรืออะไรก็ตาม
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็ยังคงคิดเช่นนั้น
เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของอาป๊า กิจการในบ้าน
หรือแม้แต่เส้นทางอนาคตของบุตรชายคนเดียวของตนเองก็ได้จัดการได้อย่างดีเยี่ยม นับแต่สามีผู้นำตระกูลได้เสียไป
สุดท้ายก็เหลือเพียงแค่ ส่งมอบอำนาจภายใต้ชื่อ “ตระกูลโชว์” ให้กับเราผู้เป็นลูก
ก่อนที่จะเกษียณตัวเองไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามต้องการเสียที
“ชีวิตมันก็มีแค่นี้ล่ะนะ” คำพูดที่ผมมักจะพูดบ่อยๆ เมื่อรู้ประสา
และรู้อนาคตที่แน่ชัดของตัวเอง
“ทำงาน เก็บเงิน แต่งงาน แล้วก็จบ...”
พรุ่งนี้จะเป็นพิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการระหว่างตระกูลโชว์ และเหม่ยแล้ว
บางทีนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ทำความรู้จักเธอ
ก่อนพิธีแต่งงานจริงจะมาถึงก็ได้
อย่างน้อยก็ขอโอกาสได้รักผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาด้วยตัวเองเถอะ
พลันนั้นความคิดมากมายของเราก็ได้ข้อสรุปอยู่ที่ร้านเสื้อผ้าสตรี ไม่สิ...
บางทีคงเป็นชุดแพรสีชมพูปักดิ้นทองหลากสีอย่างประณีตวิจิตร
เป็นลวดลายดอกไม้นานาพันธุ์ที่ถูกจัดวางไว้อย่างโดดเด่นในร้าน
นั้นต่างหากที่ทำให้คำตอบในใจเราคลีคลาย
มันเป็นชุดที่งดงาม สมกับที่เกิดขึ้นมาเพื่อเธอไม่ต้องสงสัยว่าชุดแพรนี้จะคู่ควรสมฐานะของเธอหรือไม่
หากแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับอาภรณ์ตัวนี้จะช่วยขับเสริมความงามของ
หญิงสาวออกมาได้มากเพียงไร
ผมไม่รีรอที่จะเดินไปซื้อชุดนั้นไม่ว่ามันจะราคาแพงสักเท่าไหร่
อีกทั้งยังขอให้คนขายช่วยห่อของขวัญด้วยกระดาษลายที่งดงามที่สุด
ให้กับกล่องใส่เสื้อใบนี้
ผมก้าวออกมาจากร้านโดยปราศจากความกลัดกลุ้มของโชว์ ปัง คนเดิมเมื่อครู่
ในใจนึกภาพยามที่ผมมอบของขวัญนี้ให้กับเธอ ยามที่เธอได้เห็นมัน
ยามที่ผมขอดูใบหน้าของเธออย่างชัดเจน และยามที่เราได้พูดคุยกัน
นั่นคงไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะเป็นเรื่องราวรักใคร่ของหนุ่มสาวธรรมดาใช่ไหมเล่า? แต่เรื่องมันกลับยังไม่จบนี่สิ...
เมื่อเช้าวันหมั้นหมายมาถึง ผมตื่นแต่เช้าอันผิดปกติวิสัย
ไม่สิ... บางทีผมคงตื่นเต้นจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลงมากกว่า
ตระกูลเหม่ยเองก็มาถึงตั้งแต่เช้ามืด พวกผู้ใหญ่ต่างเตรียมงานกันวุ่นวาย
โดยที่ตัวละครสำคัญสองคนไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยสักนิด
จากหน้าต่างนั้นผมเห็นเธอ...
เหม่ยลี่ฮวา ว่าที่ภรรยาของผมหล่อนกำลังเดินเล่นในทุ่งเบญจมาศสีแดงสดอันเป็นดอกไม้ที่มารดาของผมโปรดปรานยิ่ง และนั่นคือโอกาสของผมแล้ว
ผมก้าวลงจากบันไดบ้านในชุดกรุยกรายที่มารดาจัดเตรียมไว้ให้
ก้าวผ่านความวุ่นวายทั้งมวลในตัวบ้านตรงไปยังที่หมายหนึ่งเดียวของผม
และเธอก็ยังคงอยู่ที่นั่น
ทุกอย่างเป็นไปตามความคิดของผมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพบกันที่เงียบงัน
ใบหน้าที่ยังคงถูกปิดซ่อนของหล่อน รอยยิ้มที่แต่งปั้นจากใบหน้าของผม
ท่าทีขวยเขินอย่างไว้ท่าของเธอ และ...
“ลองเปิดดูสิครับ” แม้เสียงจะสงบนิ่ง แต่ผมก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าข้างในนั้นร้อนรนไม่ต่างไปจากดอกไม้พวกนี้
หญิงสาวขยับนิ้วเรียวงามค่อยๆ บรรจงเปิดห่อของขวัญอย่างสมเป้นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว หากแต่สิ่งที่เธอพบในกล่องนั้น กลับทำให้ผมเห็นภาพอีกด้านของเธอ
เหม่ยลี่ฮวา หัวเราะด้วยเสียงหวานหูอย่างไม่เก็บอาการอีกต่อไป
แม้ท่าทางของเธอจะยังคงไว้ซึ่งมารยาท แต่ก็ไม่อาจลบความงุนงงออกจากใบหน้าผมไปได้
“โรคจิต”......
ครับ นั่นแหละคือคำพูดคำแรกที่ว่าที่ภรรยาพูดกับผม “หา?” แน่นอนว่าผมร้องสวนไปโดยไม่ทันที่สมองจะคิดตามทันด้วยซ้ำ
“ฉันคง... รับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอส่งกล่องของขวัญแห่งความฝันคืนให้แก่ผม
ก่อนจะเดินจากไปอย่างแช่มช้า พลางใช้แขนเสื้อยาวกรุยกรายสีแดงปิดปากเพื่อรักษากิริยาของเธอ
“ซื้อชุดให้คู่หมั้นเนี่ยโรคจิตตรงไหนกัน?” ผมถามกันตนเองซึ่งไม่อาจตอบได้เช่นกัน
แต่เพียงได้เห็นของที่อยู่ในกล่องนั้นจึงได้เข้าใจ
“เฮ้ย!.....”
ชุดพยาบาลมาอยู่ในกล่องได้ยังไงเนี่ย?ใช่ครับ... ชุดนางพยาบาลสีชมพู แบบมินิสเกิร์ตเสียด้วยนะ
ชุดที่พวกคุณคุ้นหน้าคุ้นตากันดีนั่นแหละ
....
“เธอกลับไปเสียเถอะ” นั่นคือคำพูดที่ผมพูดกับคู่หมั้นอีกครั้งเมื่อพบหน้า มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้า
พวกเราไม่พบกันอีกครั้งในขณะที่พิธีหมั้นเริ่มต้นขึ้น ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนับสิบ
“พูดอะไรน่ะ เสี่ยวปัง?” เสียงของมารดาฝ่ายผมได้พูดทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก ด้วยท่าทีที่ไม่พอใจมากๆ เสียด้วยสิ
“อั๊วไม่มีอะไรจะอธิบายทั้งนั้นครับ อาม๊า” มีชีวิตอยู่ในตระกูลมาร่วมยี่สิบปีเพิ่งจะคิดมากบฏเอาวันนี้
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปได้ยังไง แต่ในสมองนั้นผมยังคงคิดอยู่เพียงอย่างเดียว
ผมเก็บความรู้สึกที่ถาโถม และถือโอกาสลุกพรวดเข้าห้องส่วนตัวไปโดยไม่มีเสียงขัด หรือตั้งคำถามอะไรอีก
แต่แน่นอนว่าหลังจากที่ผมจากไป เหตุการณ์ข้างล่างคงจะวุ่นวายพอดู
.....
“ไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลยนี่นา”ทันทีที่เท้าก้าวเข้าห้อง และปิดประตูบานพับลงได้
คำพูดที่อัดอั้นมานานก็ได้เอ่ยออกมาเสียที
“มันก็แค่ชุดพยาบาล”ผมก้าวไปยังชุดเจ้าปัญหาที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียง พร้อมตั้งคำถามกับมัน
“มันก็น่ารักดีไม่ใช่เหรอ?” สองมือของผมหยิบมันขึ้นมาดูมันให้ชัดๆ
“ถึงจะสวยสู้ชุดนั้นไม่ได้ก็เถอะ แต่นี่... ไม่คิดจะมีอารมณ์ขันเลยรึไง”
“ลี่ฮวา ฉันคิดว่าถ้าเป็นเธอใส่ชุดนี้ก็คงจะดูดีแน่ๆ ฉันมั่นใจ” ผมพูดกับชูดพยาบาลในมือ
“ต่อให้เป็นเราใส่ก็เถอะ... “ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน
แต่รู้ตัวอีกทีชุดแพรราคาสูงค่าก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นห้อง โดยมีชุดสีชมพูเจ้าปัญหานี้ทาบทับลงไปแทนเสียแล้ว
“เห็นมั้ยล่ะ ก็ยังดูดีออก” ผมหมุนตัวดูตนเองในชุดพยาบาลผู้หญิง กับกระจกชัดๆ
มันพอดีตัวผมอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับมันสร้างมาเพื่อผมคนนี้เลยแต่ดูเหมือนผมจะลืมปัญหาสำคัญที่สุดในชีวิตไป...
และนั่นล่ะ คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม“เสี่ยงปัง ม๊ามีเรื่องต้องคุย” โดยไม่ทันให้ตั้งตัว บานประตูก็ถูกเลื่อนโผงออก
และมารดาผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ยืนอยู่แทนประตูนั้นด้วยทีท่าที่ยากจะคาดเดา
“อาม๊า...” ผมอึ้งไปชั่วขณะ แน่นอนว่าเรื่องมันเกิดขึ้นกระทันหันมาก ไม่มีเวลาให้ผมได้คิดอะไรทั้งสิ้น
และแน่นอนว่าผมไม่มีทางที่จะมีเวลาเปลี่ยนชุดทัน
“เดี๋ยว... อั๊วอธิบายได้นะ”
ต่อให้เป็นแม่ที่แกร่งที่สุดในโลกก็เถอะ แต่จะมีซักกี่คนที่รับภาพซึ่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
กำลังอยู่ในชุดนางพยาบาลสีชมพูสดใส หลังจากที่เพิ่งทำลายพิธีหมั้นหมายไปหมาดๆ ได้
“นั่งลงสิ” อาม๊ากล่าวด้วยน้ำเสียง และอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา
แต่ผมได้หันหลังให้หล่อน และทำท่าจะขัดคำสั่งเธอ
“จะหนีไปไหนอีก เสี่ยวปัง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าแฝงอำนาจไว้ชัดเจน
“มานั่งตรงนี้สิ” อาม๊าถือครองกรรมสิทธิ์ในการนั่งบนเก้าอี้อ่านหนังสือในห้องของผมทันที
และเลือกออกคำสั่งให้ลูกชายมานั่งตรงข้ามกับเธอที่ปลายเตียง
“อาม๊า...”
“อย่าให้อั๊วพูดซ้ำเลยน่า”
“เข้าใจอั๊วหน่อยได้มั้ย...” คำพูดนี้ไม่ได้แสดงความก้าวร้าวแต่อย่างใด แต่เจือความละอายไว้จนเต็ม
“อย่างน้อยก็ขออั๊วเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ”โชว์ ฟาน ผู้ถืออำนาจสูงสุดในห้องเงียบไปครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ
“ไม่ต้องหรอก มานั่งเถอะ” แน่นอนว่าผมอึ้งไม่แพ้พวกคุณหรอก เห็นรึยังล่ะว่า
อาม๊าของผม แกร่งที่สุดในโลกบทสนทนาเริ่มขึ้นทันทีที่ผมนั่งลง กระโปรงที่เพิ่งจะเคยใส่ครั้งแรกช่างเป็นอุปสรรคในการนั่งเหลือเกิน
“อั๊วรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าวันนี้มันต้องมาถึงสักวัน”
ผมไม่รู้ว่าอาม๊าหมายถึงวันที่ผมจะกบฏต่อเธอ วันที่ผมจะทำลายงานหมั้น
หรือวันที่สักวันเธอจะได้เห็นผมใส่ชุดพยาบาลเต็มๆ ตา....
แต่เป็นการดีกว่าที่ผมเลือกที่จะไม่พูด หรือถามอะไร
“อั๊วคงจำกัดความคิดของลื้อมากไป”
ผมยังคงเงียบ...
“ก่อนอาป๊าของลื้อจะตาย เขาได้บอกกับอั๊วว่า...” อาม๊าว่า และแน่นอนว่าผมสนใจฟังมากเป็นพิเศษ
“ลูกผู้ชายมีความฝันยิ่งใหญ่ ที่ผู้หญิงไม่มีวันเข้าใจ”“ถึงอั๊วจะไม่เข้าใจลื้อ แต่อั๊วก็เข้าใจอาป๊าของลื้อในที่สุดละนะ” ผมได้แต่พยักหน้าพลางทบทวนคำพูดของหล่อน
ว่าแต่อาม๊าเข้าใจเรื่องอะไรกันนะ? ทำไมถึงต้องจ้องชุดพยาบาลของผมหัวจรดเท้าอย่างนี้ด้วยล่ะ
“ลื้อมีความฝันอยู่ใช่ไหม?” อาม๊าถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง และต้องการคำตอบ
ความทรงจำจึงได้หวนไปยังสัญญาที่เคยให้ไว้กับชายผู้เคยมอบเสียงเพลงอันเป็นที่รักก่อนจะจากลา
“ครับ” สองตาของผมจ้องมองคนเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่
“ถ้ายังอยู่ที่นี่ ลื้อคงทำมันไม่สำเร็จหรอก” หล่อนแย้มยิ้มให้กับผมอย่างอ่อนโยน
ทำให้ภายในใจลึกๆ ของผมนั้นพองโตด้วยความปลื้มยืนดี
“แต่ว่า... ก็มีบางเรื่องที่ลื้อควรจะจัดการด้วยตนเอง” อาม๊ามองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง
ผมเองก็ลุกไปมองด้วยเช่นกัน ณ ที่นั้น เหม่ยลี่ฮวายังคงยืนอยู่ราวกับจัดฉาก
หัวใจของผมไม่ต้องการจะรีรอสิ่งใด จึงได้รีบพาตัวเองแล่นลงไปหาเธอ
ด้วยความในใจที่ต่างจากในยามเช้าโดยสิ้นเชิง
แม้ผ้าแพรจะผิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเรากำลังจ้องตากัน
ลี่ฮวาจ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหลบสายตาจากผม ก่อนที่ทันจะได้พูดอะไร
“เธอจะรอ...ได้หรือเปล่า” บางทีนี่อาจเป็นคำถามง่ายๆ ที่ผมต้องใช้เวลารอยาวนานที่สุดในชีวิต
หลังเวลาการรอคอยผ่านไป ซึ่งไม่รู้ว่ายาวนานเพียงไร
แต่เหม่ยลี่ฮวาก็เลือกที่จะกระทำอะไรบางอย่างในที่สุด
เธอก้มหน้านิ่ง และสั่นเทิ้มไปทั้งกายราวกับกำลังอดทนอะไรบางอย่าง
“ลี่ฮวา?” ผมตรงเข้าไปดูเธอใกล้ๆ แต่ไม่ทันได้ทำอะไร ผมก็รู้สาเหตุในที่สุด
เหม่ยลี่ฮวาได้ใช้เสียงทั้งหมดในชีวิตของเธอ เพื่อหัวเราะดังที่สุดในชีวิตต่อหน้าผม
“อะไรกันเนี่ย?” อีกครั้งที่ผมต้องงุนงงเพราะเธอ แต่แล้วผมก็ได้ล่วงรู้คำตอบโดยไม่ต้องให้เธอบอก
ผมลืมถอดชุดพยาบาลออกครับถึงเรื่องราวอะไรหลายอย่างจะเกิดขึ้นก็เถอะ แต่คำตอบของเธอนั้นก็คือ...
“ค่ะ”ผมได้ให้สัญญาว่า ผมจะกลับมาเมื่ออายุครบสามสิบ เพื่อให้คำตอบกับเธออีกครั้ง
โดยที่เธอและครอบครัว ไม่จำเป็นต้องรอผมก็ได้
แต่เธอก็ยังคงยืนยันว่าเธอจะรอ“นี่คุณปังคะ...” ก่อนจะจากกัน เธอได้พูดกับผม ผมไม่ได้ขานรับ แต่ตั้งใจฟัง
“ถ้าหากมั่นใจ... คิก...”
“ถ้าหากมั่นใจแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวสายตาใครหรอกค่ะ”“หา?”
เธอหมายความว่าอะไรของเธอ (วะ) เนี่ย????
.................
นั่นแหละ เรื่องราวของผมกับผู้หญิงที่น่าหงุดหงิดที่สุดในโลก...
ตอนนั้นผมก็แค่สัญญาให้เวลามันยืดออกไปอีกหน่อยแบบไม่น่าเกลียด
แต่ก็ไม่คิดว่าสองปีมันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้
รู้ตัวอีกทีก็.....สายตาของผมเหม่อมองไปที่ตู้เสื้อผ้าที่เริ่มจะมีชุดผิดปกติๆ น้อยลงไปทุกที
“ความผิดของเธอนะ ลี่ฮวา”=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
เลิฟซีนเสื่อมๆ สไตล์โชว์ ปัง มาเสริฟแล้วคร่า >w<
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้
รู้แค่ว่าอินเนอร์แถได้กระทั่งสาเหตุที่อีโชว์ชอบคอสเพลย์....
หนุ่มสาวเอย....
พวกเธอว์จงเสพย์ดราม่า แถๆ !!!
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=